กู้ทุ่นระเบิดรักษาชีวิต

     ในช่วงเวลา 32 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2508-2540 หลังสงครามการสู้รบในประเทศกัมพูชา จากความขัดแย้งอุดมการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ตามแนวชายแดนของ จ.จันทบุรี และจ.ตราด มีการสู้รบและผลักดันกองกำลังฝ่ายที่เสียเปรียบเข้ามายังประเทศไทย

     สถานการณ์ดังกล่าวรุนแรงที่สุดในช่วงปี พ.ศ.2523-2536 ที่มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ โดยกองกำลังติดอาวุธการยิงด้วยอาวุธสนับสนุนชนิดวิถีราบ และวิถีโค้งขนาดต่างๆ สำหรับการยิงอาวุธด้วยวิถีโค้งการตรวจทุ่นระเบิดไม่สามารถตรวจหาได้

     จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ.2537-2540 การสู้รบเริ่มน้อยลง และเริ่มมีการรายงานการสูญเสียจากทุ่นระเบิดจากประชาชน และผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน

     ด้วยเหตุนี้ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย จึงจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการแจ้งเตือนเรื่องทุ่นระเบิด พร้อมพาลงพื้นที่รับชมการปฏิบัติการเก็บกู้วัตถุระเบิด และตรวจภูมิประเทศ ที่หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิด ด้านมนุษยธรรม ที่ 2 บริเวณบ้านซับตารี ต.สะตอน อ.สอยดาว จ.จันทบุรี 

พื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดชายแดนกัมพูชา มีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม สลับเนินเขา สภาพป่าไม้สมบูรณ์
สําหรับจ.จันทบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 6,338 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่อันตราย 96.4 ตารางกิโลเมตร อยู่ในพื้นที่ อ.สอยดาย และ อ.โป่งน้ำร้อน

     พล.ท.สีหนาท วงศาโรจน์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ เล่าว่า การลง พื้นที่ในครั้งนี้เพื่อประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยตระหนัก ถึงภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ยังหลงเหลือจากการสู้รบในอดีต

ที่สำคัญคือเพื่อต้องการช่วยลดความสูญเสีย และการบาดเจ็บจากประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย และเพื่อให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ประกอบอาชีพและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

     หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขยายความว่า ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ดำเนินงาน มาตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้สะสมผลิตและโอนและการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขณะนั้นมีพื้นที่เสี่ยง 2,560 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมใน 27 จังหวัดทั่วประเทศ ปัจจุบันมีพื้นที่เสี่ยงลดลงตามลำดับเหลืออยู่ 530.8 ตารางกิโลเมตร และควบคุมพื้นที่ใน 18 จังหวัด

     "แม้มีความพยายามเก็บกู้วัตถุระเบิดอย่างเต็มที่ แต่ในการปฏิบัติงานยังมี อุปสรรคปัญหาหลักของการดำเนินงาน คือเรื่องพื้นที่แนวชายแดน เช่นพื้นที่ทับซ้อน ตลอดจนข้อจำกัดเรื่องบุคลากร และยุทโธปกรณ์ รวมทั้งงบ ประมาณในการดำเนินงาน แต่ศูนย์ ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ก็ดำเนิน การอย่างเต็มความสามารถเก็บกู้ ทุ่นระเบิดอย่างสุดความสามารถ" พล.ท.สีหนาทชี้แจง

     ขณะที่ พ.อ.สุชาต จันทรวงศ์ หัวหน้าส่วนประสานการปฏิบัติและประเมินผล พูดถึงสถานการณ์ทุ่นระเบิดในประเทศไทยว่า ทุ่นระเบิดที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่จะผลิตในจีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เวียดนาม ที่พบมากที่สุดคือ พีเอ็มเอ็น รัสเซีย จีน และสุดท้าย เอ็ม 14 จากอเมริกา จากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตั้งแต่ปี 2542 ทำให้จากการสำรวจเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2555 เหลือพื้นที่ที่ต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิด 530.8 ตารางกิโลเมตร จากทั้งหมด 18 จังหวัด 


     สิ่งที่ท้าท้ายคือพื้นที่ 530.8 ตารางกิโลเมตร ต้องทำให้เสร็จภายในกำหนดเส้นตาย ปี 2561 ตามข้อตกลงในอนุสัญญาออตตาวา แต่จากการศึกษาย้อนหลัง หน่วยของเราเก็บทุ่นระเบิดปีละไม่ถึง 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข และถึงแม้เราจะมีภาคีในการช่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย แต่แนวโน้มก็ยังทำให้เสร็จไม่ทันตามอนุสัญญา

บทความ : นพพล สันติฤดี 
ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEE0TURnMU5nPT0=

--------------------------------------------